วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555

โลกภายนอก โลกภายใน



                        ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

 การฟังพระธรรมมาก ๆ  ทำให้เรารู้ตามความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ได้  เช่น ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ.....โลกภายนอกที่กระทบตาบ้าง กระทบหูบ้าง กระทบลิ้นบ้าง แล้วก็คิดเรื่องที่มากระทบ  แต่จิตกับเจตสิกซึ่งเป็นโลกภายใน คือเป็นโลกกุศลและโลกอกุศล ขณะที่คิดเรื่องราวต่าง ๆ  จะเห็นว่า สติไม่เกิดขึ้นระลึกรู้เลยว่า เป็นกุศลหรืออกุศล เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการฟังเรื่องธรรมะ  เพื่อสะสมความเข้าใจถูกต้อง เพราะเหตุว่าทุกวันเราอยู่กับโลกภายนอก  แต่ถ้าไม่มีโลกภายในปรุงแต่ง โลกภายนอกก็ไม่มี

จะขอกล่าวถึง คำว่า "อายตนะภายนอก" คือ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดแล้วดับ  เช่น สิ่งที่มากระทบตาก็เป็นโลกหนึ่ง เกิดขึ้นแล้วดับไป  เสียงที่มากระทบหู เป็นโลกหนึ่งที่เกิดแล้วดับไป ทุกอย่างเป็นโลกหมด

.....ตลอดชีวิตถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ก็จะไม่รู้เรื่องโลกภายนอกและโลกภายในเลย  จะไม่รู้เลยว่า จิตเกิดดับ และจิตเป็นกุศลหรืออกุศล ก็ไม่รู้ไปวัน ๆ หนึ่ง  จิตเป็นวิบากก็ไม่รู้  ไม่รู้อะไรเลย 

แต่จะรู้ก็ต่อเมื่อได้ศึกษาปริยัติ และได้ฟังเรื่องความจริงของสิ่งที่มีจริง  จนกระทั่งมีความเห็นถูกต้อง และมีความเข้าใจถูกต้อง  และจะเริ่มเข้าใจประโยชน์ของการฟังธรรม  ว่าไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย  แต่เพื่อมีความเห็นถูกความเข้าใจถูก ในความจริงของสิ่งทีก่ำลังปรากฏ ไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ ว่าทั้งหมดเป็นสิ่งที่มีจริง

เรื่องราวทั้งหมด ไม่ใช่จิต แต่เป็นอารมณ์ของโลกภายใน (จิต) เพราะฉะนั้นจะทราบได้ว่า เราอยู่กับโลกภายนอกมานานแสนนาน ปัญญาไม่เกิดจึงไม่สามารถรู้ว่า ทั้งหมดเป็นโลกภายใน ซึ่งเป็นกุศลบ้างและอกุศลบ้าง.... ถ้าไม่มีจิตและเจตสิกโลกภายนอกจะมาจากไหน ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่มีอะไรปรากฏเลย.....ถ้าขณะนี้ไม่รู้เลยว่า โลกภายในเป็นกุศลหรืออกุศล  ก็สะสมความไม่รู้ต่อไปเรื่อย ๆ

เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าพระมหากรุณาธิคุณของพระผู้มีพระภาค ที่พระองค์ทรงแสดงธรรมจริง ๆ ให้ผู้อื่นสามารถเข้าใจได้ โดยที่ต้องทรงบำเพ็ญบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัป  เพื่อที่จะถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  หมดสิ้นกิเลสไม่เพียงแต่พระองค์เท่านั้น   ถึงแม้ว่าพระองค์จะดับ
ขันธปรินิพพานไปนานแล้ว แต่พระธรรมก็ยังเป็นที่พึ่ง เป็นสรณะให้คนที่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง สามารถที่จะเข้าใจถูกต้อง  ดังนั้น เราจึงควรที่จะรู้จักพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  มิฉะนั้น เราก็จะไม่มีการเข้าใจ "ความจริง" ของสิ่งที่ปรากฏทั้งภายนอกและภายในได้เลย


                                                  
                                                 ....................................
   
                                                     
                                                        ขออนุโมทนาค่ะ

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ทิฎฐิในชีวิตประจำวัน





ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ทิฎฐิ หมายถึง ความเห็น....ทิฎฐิมี ๒ ประเภท คือ สัมมาทิฎฐิกับมิจฉาทิฎฐิ......ถ้ากล่าวเพียง "ทิฎฐิ" หมายถึงความเห็นผิด (มิจฉาทิฎฐิ)

ทิฎฐิหรือความเห็นผิดซึ่งเกิดขึ้นกับทุกท่าน หรือเกิดกับญาติ มิตร สหายของท่านในชีวิตประจำวัน เพราะว่าสติไม่ระลึกรู้สภาพธรรมที่ปรากฏขณะนี้ตามความเป็นจริง ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจนั้น  เป็นเพียงธาตุรู้  เป็นนามรู้เท่านั้น ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจ แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว

ประโยชน์ของเข้าใจเรื่อง "ทิฎฐิ" ก็เพื่อเกื้อกูลและอนุเคราะห์  ถ้าสามารถที่จะกระทำได้ เพื่อให้เขามีความเห็นถูกต้องขึ้น ตัวอย่าง เช่น บางท่านมีปรกติเจริญสติปัฎฐานในตอนกลางวัน แต่พอตอนกลางคืนว่างจากกิจการงานส่วนตัวแล้ว ก็อยากจะนั่งสมาธิ  ขณะนั้นสติไม่ได้ระลึกสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา

ในชีวิตประจำวันตลอดวันเต็มไปด้วยความนึกคิดวุ่นวายเรื่องต่าง ๆ   ยามว่างจากการงาน ก็อาจจะเป็นเหตุปัจจัยให้นึกถึงการงาน อดีตบ้าง อนาคตบ้าง เรื่องนั้นบ้างเรื่องนี้บ้าง เรื่องบุคคลอื่นบ้าง รู้สึกจิตมีแต่ความฟุ้ง จึงทำให้รู้สึกว่าอยากจะทำสมาธิ  ขณะนั่งสมาธิสติไม่เกิดระลึกรู้สภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนั้นตามความเป็นจริง ก็ไม่ใช่การอบรมเจริญสติปัฏฐาน......อะไรเป็นเหตุปัจจัยทำให้ท่านต้องการที่จะทำสมาธิ ต้องการความสงบให้แก่จิต  คำตอบก็คือ เพราะเหตุว่าขณะนั้นมี "โลภมูลจิต" เกิดขึ้น จึงทำให้มีความพอใจ มีความต้องการที่จะทำสมาธิ หรืออยากจะทำสิ่งอื่นที่ไม่ใช่การระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ตามเหตุตามปัจจัย ตามความเป็นจริง จึงเป็นความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เมื่อมีความเห็นผิดแล้ว การปฏิบัติก็ย่อมผิดด้วย  เพราะฉะนั้น จึงควรตรึกตรองพระธรรมที่ได้ยินได้ฟังหรือได้ศึกษาให้เข้าใจเสียก่อน แล้วจึงลงมือปฏิบัติ.

                                                   .................................

                                         ขออนุโมทนาในกุศลจิตกับทุกท่านด้วยค่ะ

วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สภาพธรรมหมายถึงอะไร







ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

สันโต ภาโว สภาโว (สิ่งที่มีอยู่จริง ๆ ชื่อว่าสภาพธรรม) มาจากศัพท์ว่า สันต แปลว่า มีอยู่,
 แปลง สันต เป็น ส

ภาว แปลว่า ความเป็น  รวมกันเป็น สภาโว (สภาวธรรม,สภาพธรรม)

สภาวธรรม หรือสภาพธรรม  หมายถึง  สิ่งที่มีจริง, สิ่งที่มีอยู่จริง ๆ มีลักษณะเฉพาะของตน

ธรรม กับ ธาตุ มีความหมายเหมือนกัน คือ สิ่งที่ทรงจำไว้ซึ่งลักษณะของตน เพราะฉะนั้น ธรรม คำเดียวมาจากธาตุทุกธาตุ ไม่เว้นอะไรเลย  และแม้ว่าคำว่า "สภาวะ" คำเดียว ก็หมายถึงเป็นธรรมไม่ใช่เรา
ไม่ใช่ตัวตน สัตว์  บุคคล.
                                        
                                                       ........................
 
                                                        ขออนุโมทนาค่ะ