วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การศึกษาสิ่งที่เลิศ

                          
                            ขอนอบน้อมแด่สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

การศึกษาที่เลิศที่สุดก็คือการศึกษา "ธรรมะ"  เพราะเหตุว่าธรรมะ คือสิ่งที่มีจริงซึ่่่งสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง..... การศึกษาสิ่งมีจริงที่กำลังปรากฏในแต่ละขณะนี้เอง เป็นการศึกษาที่เลิศกว่าการศึกษาวิชาต่าง ๆ ในโลก  สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ทั้งหมด เป็นลักษณะของธรรมะแต่ละขณะหนึ่ง เช่นเสียงมีจริง ได้ยินมีจริง สิ่งที่มีจริงภาษาบาลีใช้คำว่า "ธรรม" นี่ก็เป็นความเข้าใจขั้นต้น เรียกว่าเป็น "บันไดก้าวแรกของการศึกษาธรรม" เพราะเหตุว่าขณะนี้ศึกษาธรรม เพียงปรากฏกับธาตุที่กำลังเห็นสิ่งซึ่งเป็นธรรม ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล

การศึกษาเพื่อที่รู้จักธรรมที่กำลังปรากฏนั้น ต้องฟังธรรมจนกว่าจะเข้าใจ ขณะนี้มีเห็น ก็เริ่มเข้าใจว่า ขณะที่กำลังมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ขณะนั้นไม่มีสิ่งอื่น นี่คือการเริ่มต้นที่จะรู้จักว่าเป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง ๆ ขณะที่เสียงปรากฏ ขณะนั้นไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เห็น และขณะนั้นก็มีธาตุที่ได้ยินเสียงที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นธาตุที่ได้ยินเสียงไม่ใช่เรา ไม่มีใครเลย มีแต่ธรรมที่เป็นธาตุ ที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย เช่น เสียงกระทบกับหู เป็นปัจจัยให้จิตได้ยินเกิดขึ้นได้ยินเสียง เสียงก็ดับ ได้ยินก็ดับ

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้  ทรงรู้สิ่งที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ได้ ทั้ง ๆ ที่เป็นอย่างนี้ แต่ก็ไม่มีใครรู้ เพราะเวลานี้ไม่มีอะไรดับเลย มีแต่ปรากฏแล้วก็คิดว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพราะฉะนั้นกว่าจะเข้าใจธรรมจริง ๆ ต้องเป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้แจ้งสภาพธรรม จึงสามารถที่จะดับกิเลสได้ และเรามีกิเลสมากมาย แล้วจะดับกิเลสได้อย่างไร ถ้าไม่เข้าใจธรรมตรงตามความเป็นจริง ก็จะไม่สามารถประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏขณะนี้ตามความเป็นจริงได้เลย

เพราะฉะนั้นพึงเห็นประโยชน์ของการศึกษา แม้เพียงเล็กน้อยขั้นเริ่มต้น แต่ว่าศึกษาให้ตรง เพื่อรู้และเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ แม้ว่าจะยากแสนยาก แต่ก็สามารถเข้าใจได้ เพราะว่ามีผู้ที่ได้เข้าใจแล้วและหมดกิเลสแล้ว นั่นก็พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงดำเนินไปด้วยทางนี้ที่จะทำให้ดับกิเลสได้

                               
                                    ขออนุโมทนาบุญในกุศลจิตกับทุกท่านด้วยค่ะ

วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ทุกข์เพราะคิด


                   
 
                     ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

วัน ๆ คิดตลอดเวลา ไม่อยากคิดก็ต้องคิด ถ้าเข้าใจเรื่องสภาพธรรมจริง ๆ แล้ว ทุกข์จะลดน้อยลงมาก เพราะเหตุว่าไม่มีอะไรเหลือเลย นอกจากขณะปัจจุบัน ขณะนี้ ขณะเดียว ทีละขณะเท่านั้น เพราะฉะนั้น จะมีอะไรที่ทำให้เป็นทุกข์ได้.....ขณะนี้มีใครเป็นทุกข์บ้าง  ถ้าจะทุกข์ก็เพราะคิดเท่านั้น แต่ถ้าไม่คิดก็ไม่มีทุกข์ ไม่ว่าใครจะมีทุกข์มากน้อยเพียงใด เราก็ห้ามคิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจความคิด

ถ้าไม่คิดอะไรเลยก็อยู่ในโลกนี้ไม่ได้เลย เพียงมีสิ่งที่ปรากฏทางตา จะรู้ไม่ได้เลยว่าเป็นอะไร ถ้าไม่คิด....ความคิดมีหลายระดับ เรามักจะพูดถึงความคิดเป็นเรื่องเป็นคำ แต่ความจริงแล้วเรื่องคำทั้งหลาย
หรือความหมายทั้งหลาย  มาจากความทรงจำในสิ่งที่ปรากฏโดยรูปร่าง สํญฐาน ถ้าเป็นทางตา ถึงแม้ว่าไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้กระทบสัมผัส แต่ก็คิดได้ เพราะความทรงจำ ขณะคิดเป็นจิต ส่วนมากเราจะลืมจิตที่คิด เพราะไปมุ่งถึงจิตที่เห็น จิตที่ได้ยิน จิตที่รู้กลิ่น ฯลฯ หลังจากเห็น หลังจากได้ยิน หลังจากได้กลิ่น  จะไม่ให้คิดก็ไม่ได้ เพราะว่าหลังจากเห็นแล้ว ทางใจต้องคิด แม้ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ทางใจก็คิดได้ เพราะมาจากความทรงจำ ความคิดมีหลายอย่าง ทันทีที่เห็น คิดถึงรูปร่างสัณฐาน ยังไม่มีเรื่องราวยังจำได้ว่าเป็นใคร

ขณะทีเห็นมีคิด ขณะที่ได้ยินมีคิด นี่ก็เป็นขั้นหนึ่ง หลังจากเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือหลังจากได้ยินเสียงที่ปรากฏทางหู  ถ้าไม่คิดความหมายเลย สิ่งที่ปรากฏก็ดับไป  ถ้าถามก็ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาหรือสิ่งที่ปรากฏทางหูเป็นอะไร เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ทางตาก็เห็นจริง แต่ทางใจปรุงแต่ง คิดสารพัด คิดถูกคิดผิด ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ความคิด นี่ก็เป็นอีกตอนหนึ่ง

นอกจากนั้นยังมีความเห็นถูกหรือความเห็นผิดในสภาพธรรมอีก เพราะฉะนั้น ห้ามคิดไม่ได้ แต่จะต้องเข้าใจว่า ความคิดนั้นไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา นี่เป็นสิ่งสำคัญที่จะเข้าธรรมว่า "ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา" ชีวิตในวันหนึ่ง ๆ จะสุขหรือทุกข์ สำคัญที่สุดคือ "ความคิด" ด้วยเหตุนี้จึงควรมุ่งที่จะเข้าใจเรื่องความคิดเสียก่อนว่า แท้ที่จริงแล้วเป็นการเตือนให้ระลึกว่า ในขณะคิดเป็น "จิต" แล้วก็ขณะเห็นก็มีคิดต่อไปด้วย ดังนั้นถ้าไม่อยากทุกข์เพราะความคิด ก็ต้องเข้าใจความคิด

                                     
                                    ขออนุโมทนาในกุศลจิตกับทุกท่านด้วยค่ะ

วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เครื่องอยู่ที่ประเสริฐ


                 
                      ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ธรรมที่เป็นเครื่องอยู่ที่ประเสริฐในชีวิตประจำวัน มีสภาพและมีลักษณะแตกต่างกันตามเหตุปัจจัย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณา ไม่ว่าใครจะมีสุข ก็ยังน่าสงสาร เพราะไม่พ้นจากทุกข์ที่จะต้องเกิดอีก  ทุกข์จริง ๆ คือการเกิดดับ เพราะฉะนั้นให้รู้ตามความจริงว่า ทุกคนเกิดมาเพราะผลของกรรม ทุกคนมีกรรมเป็นของของตน ทุกคนหนีไม่พ้นความทุกข์ ด้วยเหตุนี้จึงควรศึกษาอบรมเจริญธรรมอันเป็นที่อยู่อย่างประเสริฐให้เกิดขึ้นและเจริญยิ่ง ๆ ขึ้น

พรหมวิหาร  เป็นธรรมที่อยู่อย่างประเสริฐ ได้แก่ ความเมตตา คือความเป็นเพื่อน มีความหวังดี, กรุณา คือมีความสงสารเมื่อผู้อื่นประสบทุกข์, มุทิตา คือ เมื่อผู้อื่นได้ดีมีสุข ก็พลอยยินดีด้วย,อุเบกขา วางใจเป็นกลางไม่หวั่นไหว

เมตตา มีความรักหรือผูกพัน เป็นข้าศึกใกล้ แยกแทบไม่ออกว่า นี่เป็นเมตตาหรือโลภะ อย่างแม่รักลูก บางคนอาจคิดว่า เมตตามาก แต่ใครจะรู้ดีว่า นั่นเมตตาหรือรัก แต่ถ้าเป็นเมตตาจริง ๆ แล้วต้องเสมอกันหมด ไม่ว่าใคร ลูกหรือไม่ใช่ลูก เพื่อนหรือไม่ใช่เพื่อน ญาติหรือไม่ใช่ญาติ ใครก็ตามต้องเสมอกันหมด นั่นคือเมตตาแท้จริง

กรุณา ไม่เลือกว่าเป็นใครเช่นกัน จะต้องสงสาร จะต้องช่วยเหลือเสมอกัน  ถ้าช่วยเพราะเป็นเพื่อน สงสารเพื่อน ถ้าไม่ใช่เพื่อนก็ไม่สงสารไม่ช่วย นั่นก็ไม่ใช่กรุณาที่แท้จริง ในขณะที่ช่วยเหลือมีความรู้สึกเศร้าหมอง จิตเป็นโทมนัสเพราะว่ามีความผูกพันเป็นเหตุ กรุณาแท้จริงต้องไม่เศร้าหมองเลย

มุทิตา  พลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีมีสุข หรือประสบความสำเร็จในการกระทำที่เป็นกุศล ไม่ใช่่หวังร้ายหรือคิดร้ายต่อเขา ไม่อิจฉาเมื่อผู้อื่นได้ดีมีลาภ ยศ สรรเสริญ เพราะนั่นเป็นผลของบุญที่เขาได้กระทำแล้ว ควรอนุโมทนาในบุญกุศลที่ได้กระทำแล้ว

อุเบกขา ต้องประกอบด้วยความเห็นถูกว่า ทุกคนมีกรรมเป็นของ ๆ ตน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ช่วยได้ก็ช่วยด้วยเมตตา ช่วยไม่ได้ก็ไม่รู้สึกเสียใจ  แต่ไม่ได้หมายความว่า เมื่อรู้ว่าทุกคนมีกรรมเป็นของ ๆ ตน รู้อย่างนี้แล้วไม่ช่วย นั่นก็ไม่ถูกต้อง แต่ขณะที่ช่วยจิตใจต้องไม่หวั่นไหว ไม่เช่นนั้นก็จะพลอยเศร้าหมองไปกับความทุกข์ยากของผู้อื่นด้วย และต้องรู้ด้วยว่าสภาพธรรมนั้นไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิกซึ่งเกิดกับจิต

                              
                                       ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านด้วยค่ะ

วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

คนดีที่สมบูรณ์แบบเป็นอย่างไร

              
                    ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ความดีมีหลายระดับ มีทั้งความดีเพราะได้สะสมมาแต่ชาติก่อน กับความดีเพราะเข้าใจธรรมะ ความดีทั้งสองอย่างนี้ มีความแตกต่างกันอย่างไร  ความดีอย่างไหนที่ดีเข้าถึงใจได้ และนำไปสู่ความดีที่สมบูรณ์แบบได้จริง ๆ....จุดหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา คือเรื่องละตลอด ละอกุศล ละกิเลส สำหรับกิเลสนั้นละยากมาก เพราะว่าหนาแน่นลึกและเหนียวแน่นมาก  ต้องละด้วยปัญญาเท่านั้น  ปัญญาก็มีหลายระดับ การฟังแล้วเข้าใจ ก็เป็นปัญญาขั้นผิวนอก ๆ เท่านั้น  บางท่านฟังแล้วเข้าใจแล้ว ก็เลยยึดเอาส่วนที่ว่าดี คือได้ส่วนที่ดีจากธรรมะ  แต่ก็ยังลืมไปว่า ขณะที่ได้ฟังธรรมแล้วเข้าใจ ได้ละความไม่รู้ทีละน้อย ๆ ขณะนั้นไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นเพราะปัญญาเข้าใจ

คนส่วนมากจะดูคนแต่ภายนอก  เช่นคนนี้ดี ขยัน ชอบช่วยงานกุศลต่าง ๆ ชอบช่วยงานส่วนรวมเสมอ  ดูแค่เพียงพฤติกรรมภายนอก คนก็จะคิดว่าเขาเป็นคนดี แต่ไม่รู้ว่า ดีจริง ๆ นั้นไม่ใช่เพียงกระทำกุศลต่าง ๆ แล้วไม่รู้เรื่องธรรมะเลย.....คนดีจริง ๆ นั้น คือ ดีเกิดจากความเข้าใจธรรมะ คนที่ดีเพราะอุปนิสัยสะสมมา เขาก็จะชอบช่วยเหลือคนอื่น เป็นคนมีเมตตา  มีความประพฤติทางกาย วาจา ใจก็ดี เขาพูดร้ายว่าคนก็ไม่เป็น นั่นก็เพราะว่าเขาได้สะสมมา ได้อบรมมาแต่อดีตชาติ ชาตินี้เขาก็จะได้อบรมศีลธรรม แต่ความดีของเขา ไม่ได้มาจากความเข้าใจธรรมะ..... นี่ก็เป็นจุดที่คนมองไม่เห็น เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจละเอียด ก็จะสามารถอ่านได้ว่า คนนี้ดีแต่ไม่เข้าใจธรรมะ เขาก็เป็นคนดี แต่เขาไม่เข้าใจธรรมะ  ส่วนอีกคนหนึ่ง เข้าใจธรรมะแล้วดี เราก็รู้ว่าเขาดี เพราะเขาเข้าใจธรรมะ  แต่ก็ต้องแยกกันด้วยว่า การสะสมของเขาเป็นอย่างไร

บางคนสะสมมามากแล้วก็ฟังมาก แต่ความเข้าใจก็ยังไม่มากพอ สิ่งที่เขาสะสมมา ก็จะต้องโผล่ออกมามากกว่า คนก็เลยตัดสินว่า เขาคนนี้ไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ แต่ก็ลืมไปว่า เพราะเขากำลังเริ่มเข้าใจธรรมะและกำลังเริ่มขัดเกลา เพราะปัญญาสามารถเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างได้  เพราะฉะนั้นถ้าเขามีความเข้าใจขึ้น เราก็จะเห็นเขาเปลี่ยนไปมากเกินกว่าที่จะเป็นไปได้....การเรียนธรรมะ ไม่ใช่เรียนเพื่อให้ได้เงินทองร่ำรวย ได้ชื่อเสียง ลาภยศ สรรเสริญ สิ่งเหล่านี้เอาไปไม่ได้  จริง ๆ แล้ว เรียนธรรมะเพื่อรู้ เพื่อความเข้าใจถูกต้อง แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องปัญญาจะเกิดเมื่อไร  ปัญญาเป็นสิ่งประเสริฐสุด นำแต่สิ่งที่ดีมาให้ เพราะเป็นสิ่งที่มาจากใจและเข้าไปถึงใจ แต่ดีอื่นนั้นไม่ถึงใจ และไม่เข้าถึงธรรมะด้วย

 ดังนั้นสิ่งที่มีค่ามหาศาล ก็คือ ปัญญา.... ขณะนี้ไม่ต้องฝืนเพราะว่ายังมีความมีตัวตนหนาแน่นอยู่เยอะมาก เพราะฉะนั้นประโยชน์ของเราก็คือ การนำเอาธรรมะมาพิจารณาด้วยความเป็นเราก่อน แล้วต่อไปก็จะรู้เองว่า เราไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะว่าปัญญาทำหน้าที่ของเขาเอง มันก็จะค่อย ๆ คลายที่ละเล็กทีละน้อย แล้วเราก็จะเข้าใจคนมากขึ้น แต่ถ้าไม่ฟังธรรมเลย ใครก็ชมว่าเป็นคนดี แต่ไม่เข้าใจธรรมะเลย แล้วจะเอาความดีมาจากไหน....แต่ถ้าเข้าใจธรรมะด้วย ทุกอย่างก็จะสมบูรณ์แบบ  เราก็จะรู้เลยว่า คนนั้นได้เข้าใจธรรมะ และดีขึ้นเพราะธรรมะตามกำลัง  แต่ว่าการเข้าใจธรรมะเป็นเรื่องละเอียดมาก เหมือนกับการจับด้ามมีด มันจะค่อย ๆ สึกโดยไม่รู้ตัว ชั่วขณะที่เราฟังธรรม กุศลจิตก็เกิดแล้วและเมื่อประกอบด้วยปัญญา ปัญญาก็เกิดแล้ว แต่ว่าอกุศลมีมากมายมหาศาล จึงเกิดบ่อยกว่ากุศล เพราะฉะนั้นในชีวิตประจำวันเวลาทำกิจการงาน ในขณะเดียวกันก็นึกถึงประโยชน์จากพระธรรม กุศลจิตก็จะเกิดบ่อยขึ้น นี่ก็เรียกว่าเป็นความดีที่สมบูรณ์แบบ

                                              ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน

วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ชีวิตคืออะไร


                  ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ชีวิต.....คือสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว แต่ด้วยเหตุว่ามีอวิชชาปิดบังความเป็นจริง จึงทำให้ไม่สามารถรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดมาแล้วชาติหนึ่ง จะจากโลกไปด้วยความโง่และความติดข้อง หรือว่าจะจากโลกไปพร้อมกับปัญญาเพิ่มขึ้น

ชีวิต.....คือสภาพธรรมที่ไม่เที่ยง ภาษาบาลีว่า "อนิจจัง" หมายถึงสิ่งนั้นต้องเกิดดับ การเกิดดับนี้ไม่เป็นที่ยินดีพอใจ ไม่น่าเพลิดเพลิน  แต่เพราะเหตุว่าเรายังไม่ประจักษ์การเกิดดับ จึงติดข้อง ยินดีและเพลิดเพลินกับสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ แล้วดับไปอย่างรวเร็ว ไม่กลับมาอีกเลย แต่การสืบต่อของมันเร็วมาก จึงทำให้ดูเหมือนว่าสิ่งนั้นมีอยู่ตลอดเวลา

ชีวิต.....สั้นมากเป็นเพียงชีวิตชั่วคราว  แต่ละวันตั้งแต่ตื่นขึ้น ก็เต็มไปด้วยการติดข้อง (โลภะ) ในสิ่งต่าง ๆ ทุกสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ไหว ตึง และนอกจากนั้นยังติดข้องในความนึกคิดต่าง ๆ อีก....วิชชาเท่านั้นที่จะสามารถรู้ได้ตามความเป็นจริงของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏขณะนี้ ทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ

วิชชา.....คือ ความรู้ กว่าจะถึงวิชชาได้จริง ๆ จนกระทั่งหมดกิเลสนั้น ก็จะต้องเป็นผู้ตรงต่อพระธรรม ต้องรู้ว่าตนมีกิเลสมากมายเหลือล้นและลึกเหนียวแน่นขนาดไหน ถ้าไม่มีการสะสมความเข้าใจถูก ด้วยการฟังธรรม ก็จะไม่มีทางที่จะประหารกิเลสได้เลย

ธรรมะ.....ก็คือชีวิตประจำวันเป็นปรกติธรรมดา มีสภาวะธรรมปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่รู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็ดับไป เพราะเหตุว่ายังไม่ได้อบรมเจริญปัญญา  ฉะนั้นเมื่อเกิดมาแล้ว จะจากโลกไปอย่างมืดบอดไปพร้อมกับความโง่ (อวิชชา) หรือจะอบรมเจริยปัญญา เพื่อสะสมความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ก่อนที่จะถึงวันนั้น

                                   ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

โลกวิจิตร


                 ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ทุกคนดูเหมือนกับว่าเราอยู่ร่วมโลกเดียวกัน แต่ตามความจริงแล้ว แต่ละคนก็มีโลกของตนเอง  โลกคือสภาพที่เกิดดับ สภาวะธรรมต่าง ๆ ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ ก็คือโลกต่าง ๆ  เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่ามีความวิจิตรแตกต่างกันไปตามการสะสมของจิต...โลกที่ได้สะสมกุศลไว้มาก ๆ ก็จะเป็นโลกที่แช่มชื่นเบิกบานและพร้อมที่จะเกิดเมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขา ซึ่งเป็นโลกที่ดีกว่าโลกของความขุ่นข้อง แค้นเคือง อิสสาอาฆาตพยาบาท ซึ่งเป็นโลกที่มัวหมองเต็มไปด้วยความทุกข์

โลกขณะหนึ่ง ๆ คือการเกิดขึ้นของจิต เพื่อรู้อารมณ์เพียงชั่วขณะเดียวแล้วก็ดับไป  เช่น โลกทางตาเมื่อมีอารมณ์กระทบที่ตา จิตเห็นเกิดขึ้นทำกิจเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏทางตาแล้วก็ดับไป โลกทางหู เมื่อมีเสียงกระทบที่หู เกิดจิตได้ยินเสียงต่าง ๆ แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว...จิตหรือโลกแต่ละโลกที่เกิดขึ้น จะไม่มีการดับไม่มี และโลกแต่ละโลกจะเกิดโดยไม่มีอารมณ์หรือสิ่งกระทบไม่มี  โลกแต่ละโลกเกิดขึ้น ต้องทำหน้าที่การงานแล้วก็ดับไป จะเกิดขึ้นโดยไม่มีอารมณ์มากระทบและไม่ทำกิจการงานไม่มี เพราะเหตุว่าโลกหรือจิตเป็นสภาพนามธรรม เป็นนามรู้ เป็นธาตุรู้  ทำหน้าที่รู้อย่างเดียว ส่วนที่รู้ว่าเป็นอะไรนั้น ไม่ใช่จิต แต่เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ที่เกิดพร้อมกับจิตทุกขณะและดับพร้อมกับจิตด้วย เรียกว่า "สัญญาเจตสิก"
ทำหน้าที่จำอารมณ์ทุกอย่างที่มากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ

โลกทั้ง ๖ มีความวิจิตรมาก เพราะเหตุว่าในแต่ละภพแต่ละชาติ ทุกคนได้สะสมกุศลและอกุศลมากมายแตกต่างกันไปตามเหตุปัจจัย การที่โลกปรากฏแต่ละโลกนั้น ก็คือผล (วิบาก) ของกุศลกรรมและอกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว เช่น การที่ได้เห็นสิ่งที่สวยงาม เป็นผลของกุศลกรรมทางตา  การที่ได้ยินเสียงที่ไม่น่าฟัง เป็นผลของอกุศลกรรมทางหู  การที่ได้กลิ่นที่ไม่ดี เป็นผลของอกุศลทางจมูก  การได้ลิ้มรสที่ดี  เป็นผลของกุศลกรรมทางลิ้น หรือการที่ได้สัมผัสทางกายที่น่าพอใจ เป็นผลของกุศลกรรม....จะเห็นได้ว่า โลกทางตาเท่านั้นเป็นโลกที่สว่าง ส่วนโลกอีก ๕ โลกนั้นเป็นโลกที่มืดสนิท แต่โลกทางใจมีความวิจิตมากกว่าโลกอื่น ๆ  เพราะว่าสามารถรู้อารมณ์ต่าง ๆ จากโลกอื่น ๆ ได้ ถึงแม้ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส ไม่ได้สัมผัสทางกาย แต่ทางใจสามารถรู้ได้ด้วยอำนาจของการสะสมของสัญญาเจตสิก
เพราะฉะนั้นเวลาเรานอนหลับแล้วฝัน จะดูเหมือนว่าได้เห็นจริง ได้ยินจริง ขณะที่หลับสนิท (ภวังคจิต)ไม่รู้ ไม่เห็น เพราะไม่มีอารมณ์มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย  โลกทั้ง ๕ ไม่ปรากฏ แต่โลกทางใจยังสามารถทำกิจได้......โลกหรือจิตแต่ละขณะ  เกิดขึ้นแล้วก็ดับสืบต่อเป็นปัจจัยให้โลกหรือจิตดวงใหม่เกิดต่อไป  เป็นวัฏฏะะวนอยู่เช่นนี้จนกว่ากิเลส ตัณหา อุปาทานจะถูกประหารเป็นสมุจเฉท

                         
                                           ........................................


                                      ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ