ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรมที่เป็นเครื่องอยู่ที่ประเสริฐในชีวิตประจำวัน มีสภาพและมีลักษณะแตกต่างกันตามเหตุปัจจัย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณา ไม่ว่าใครจะมีสุข ก็ยังน่าสงสาร เพราะไม่พ้นจากทุกข์ที่จะต้องเกิดอีก ทุกข์จริง ๆ คือการเกิดดับ เพราะฉะนั้นให้รู้ตามความจริงว่า ทุกคนเกิดมาเพราะผลของกรรม ทุกคนมีกรรมเป็นของของตน ทุกคนหนีไม่พ้นความทุกข์ ด้วยเหตุนี้จึงควรศึกษาอบรมเจริญธรรมอันเป็นที่อยู่อย่างประเสริฐให้เกิดขึ้นและเจริญยิ่ง ๆ ขึ้น
พรหมวิหาร เป็นธรรมที่อยู่อย่างประเสริฐ ได้แก่ ความเมตตา คือความเป็นเพื่อน มีความหวังดี, กรุณา คือมีความสงสารเมื่อผู้อื่นประสบทุกข์, มุทิตา คือ เมื่อผู้อื่นได้ดีมีสุข ก็พลอยยินดีด้วย,อุเบกขา วางใจเป็นกลางไม่หวั่นไหว
เมตตา มีความรักหรือผูกพัน เป็นข้าศึกใกล้ แยกแทบไม่ออกว่า นี่เป็นเมตตาหรือโลภะ อย่างแม่รักลูก บางคนอาจคิดว่า เมตตามาก แต่ใครจะรู้ดีว่า นั่นเมตตาหรือรัก แต่ถ้าเป็นเมตตาจริง ๆ แล้วต้องเสมอกันหมด ไม่ว่าใคร ลูกหรือไม่ใช่ลูก เพื่อนหรือไม่ใช่เพื่อน ญาติหรือไม่ใช่ญาติ ใครก็ตามต้องเสมอกันหมด นั่นคือเมตตาแท้จริง
กรุณา ไม่เลือกว่าเป็นใครเช่นกัน จะต้องสงสาร จะต้องช่วยเหลือเสมอกัน ถ้าช่วยเพราะเป็นเพื่อน สงสารเพื่อน ถ้าไม่ใช่เพื่อนก็ไม่สงสารไม่ช่วย นั่นก็ไม่ใช่กรุณาที่แท้จริง ในขณะที่ช่วยเหลือมีความรู้สึกเศร้าหมอง จิตเป็นโทมนัสเพราะว่ามีความผูกพันเป็นเหตุ กรุณาแท้จริงต้องไม่เศร้าหมองเลย
มุทิตา พลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีมีสุข หรือประสบความสำเร็จในการกระทำที่เป็นกุศล ไม่ใช่่หวังร้ายหรือคิดร้ายต่อเขา ไม่อิจฉาเมื่อผู้อื่นได้ดีมีลาภ ยศ สรรเสริญ เพราะนั่นเป็นผลของบุญที่เขาได้กระทำแล้ว ควรอนุโมทนาในบุญกุศลที่ได้กระทำแล้ว
อุเบกขา ต้องประกอบด้วยความเห็นถูกว่า ทุกคนมีกรรมเป็นของ ๆ ตน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ช่วยได้ก็ช่วยด้วยเมตตา ช่วยไม่ได้ก็ไม่รู้สึกเสียใจ แต่ไม่ได้หมายความว่า เมื่อรู้ว่าทุกคนมีกรรมเป็นของ ๆ ตน รู้อย่างนี้แล้วไม่ช่วย นั่นก็ไม่ถูกต้อง แต่ขณะที่ช่วยจิตใจต้องไม่หวั่นไหว ไม่เช่นนั้นก็จะพลอยเศร้าหมองไปกับความทุกข์ยากของผู้อื่นด้วย และต้องรู้ด้วยว่าสภาพธรรมนั้นไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิกซึ่งเกิดกับจิต
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านด้วยค่ะ