วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

มนุษย์กับธรรม

 ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ถ้ากล่าวถึงธรรม  ก็หมายความถึงสิ่งที่มีจริง   ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น  นี่คือสิ่งใหม่สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยฟังธรรม
เพราะว่าเราเคยได้ยินเศษเล็กเศษน้อยของพระธรรม  เช่น  จริยธรรม หรือศีลธรรมเป็นต้น  แต่จริง ๆ แล้ว  ก่อนจะเข้าใจพระธรรมได้ว่า  ด้วยเหตุใดพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องบำเพ็ญพระบารมีนานแสนนาน ถึง ๔ อสงไขยแสนกัปที่จะรู้พระธรรม  เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษาอยู่ที่ไหน  และเดี๋ยวนี้มีไหม  คนยุคนี้สามารถได้รับฟังและเข้าใจได้หรือเปล่า  นี่เป็นความต่างกันของคนในยุคโน้นกับคนในยุคนี้

 ถ้าเคยไปวัดฟังพระธรรม  ก็จะรู้ว่า ในอดีตกาลสมัยพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระอรหันต์มากมาย  พระอรหันต์คือใคร  ก็ไม่ใช่เพียงแต่ได้ยิน และได้ยินอะไรก็ไม่รู้  แต่ถ้าได้ยินแล้วต้องการเข้าใจ  ก็ฟังพระธรรมจนกระทั่งสามารถค่อย ๆ เข้าใจคำที่ได้ยินทีละเล็กทีละน้อย  เช่น  ถ้าถามว่าพระอรหันต์คือใคร  พระอรหันต์คือ ผู้ดับกิเลสหมด ไม่มีกิเลสใด ๆ เกิดขึ้นได้เลย

เพราะฉะนั้น พระอรหันต์จึงเป็นผู้ควรเคารพอย่างสูง  เพราะว่าการดับกิเลสเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลย  ถ้ามีความเข้าใจถูกต้องว่า  เมื่อเกิดมาทุกคนก็มีกิเลส  และอยู่ไปวัน ๆ  ทุกวันก็เต็มไปด้วยกิเลส  เพราะฉะนั้น ถ้าใครสามารถดับกิเลสได้  ผู้นั้นควรแก่การเคารพอย่างยิ่ง  สมัยนี้มีไหมพระอรหันต์ ?  แล้วจะรู้ได้อย่างไร ?  ใครเป็นพระอรหันต์และใครไม่เป็นพระอรหันต์ ?

ถ้าขาดความรู้  เราก็จะถูกหลอก  เพราะเหตุว่า  ถ้าใครบอกว่า  คนโน้นคนนี้เป็นพระอรหันต์  เราก็อาจจะเชื่อ  แต่ตามความเป็นจริง  แต้งเป็นความรู้ของเราเอง  จึงจะสามารถเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างได้ตามความเป็นจริง

ด้วยเหตุนี้  เราจึงมีคำว่า  มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง  เราใช้กันบ่อย ๆ
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ  มีใครเป็นที่พึ่ง ?  มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง  ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ มีพระธรรมที่ทรงแสดงแล้ว ที่ทำให้ทุกคนสามารถหมดจดจากกิเลสได้เป็นที่พึ่ง  เพราะถ้าไม่มีพระธรรม  ใครก็หมดกิเลสไม่ได้ และก็มีพระสังฆรัตน  คือ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ  ถึงพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง  ไม่ใช่ถึงผู้ที่ไม่ใช่อริยะแล้วก็เป็นที่พึ่งได้  แต่ต้องเป็นผู้สามารถเข้าใจธรรม  จนสามารถช่วยคนอื่นให้เข้าใจได้  ในฐานะของสาวกด้วย ไม่ใช่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทุกคนเคยพูดคำนี้ไหม ?  ๓ ประโยค  พุทธัง สรณัง คัจฉามิ  ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ  สังฆัง  สรณัง  คัจฉามิ  แต่ขอเป็นที่พึ่งอย่างไร  เพราะเหตุว่า แม้คำว่า "ที่พึ่ง"  ก็ไม่รู้ว่า  จะพึ่งพระรัตนตรัย  พึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างไร  เพราะว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว  ไม่มีอีกเลยที่จะไปเฝ้า สักการะหรือจะขอเป็นที่พึ่ง  แต่ยังพึ่งได้อยู่  เพราะเหตุว่าเป็นพระบรมศาสดาที่ทรงแสดงพระธรรมให้คนอื่นสามารถรู้สามารถเข้าใจได้

เพราะฉะนั้น  การที่จะพึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือ  พระองค์เป็นผู้มีพระปัญญสูงสุดในสากลจักรวาล  ไม่มีผู้ใดเปรียบเสมอพระองค์ได้เลย  และทรงแสดงพระธรรมให้คนอื่นเข้าใจได้  เพราะฉะนั้น จะพึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าวันนี้  จะพึ่งอย่างไร  หรือจะไม่พึ่ง  หรือจะเพียงกล่าวว่า  "พึ่ง"  แต่ไม่รู้ว่าจะพึ่งอย่างไร

เพราะฉะนั้น  เพียงแค่คำว่า "ธรรม"  จะพึ่งธรรม  จะพึ่งอย่างไร  กำลังจะพึ่งพระธรรมก็เมื่อได้ฟังและเข้าใจ  จึงจะพึ่งได้  ถ้าไม่เข้าใจ ไม่มีหนทางจะพึ่งได้เลย


                     
                            ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านและขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์


                                                             .....................................................





วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556

ปัญญาเจตสิก


 ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย


ปัญญาเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง  ไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิก  ตัวปัญญาเป็นความเข้าใจถูก  ความเห็นถูก  ขณะที่ฟังธรรม  แล้วมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย  ขณะนั้นมีปัญญาและมีสติด้วย  แต่ว่าจะเป็นระดับไหน  ขณะที่กำลังฟังเข้าใจ  ขณะนั้นมีเจตสิกเกิดมากมาย  เช่น  วิตกเจตสิก  วิจารเจตสิก  เวทนาเจตสิก สัญญาเจตสิก  แต่เราไม่รู้เลย  จะรู้ได้ได้ก็เพียงทีละขณะเท่านั้น

เพราะฉะนั้น  ขณะที่กำลังเข้าใจจากการฟัง  ก็มีการเข้าใจเรื่องราวที่ได้ยินได้ฟัง  แต่เป็นเรื่องราวของสภาพธรรมที่มีจริง  ถ้าไม่มีสติก็จะไม่มีการเข้าใจเรื่องราวหรือสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาเลย   อาจจะมีบางท่านบอกว่า ฟังแต่ไม่เข้าใจ  เพราะฉะนั้น จะไม่มีโสภณจิตเกิดร่วมด้วย  ขณะใดที่มีความเข้าใจธรรม ขณะนั้นมีปัญญาและสติเจตสิก  รวมทั้งโสภณเจตสิกอื่น ๆ เกิดร่วมด้วย

นี่ก็เป็นการศึกษาเพื่อให้เห็นสติและปัญญาขั้นต่าง ๆ  เริ่มตั้งแต่ขั้นการฟังสะสมความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย เพื่อเป็นปัจจัยปรุงแต่งจิตให้เกิดปัญญาในขั้นสูงขึ้นไป  ส่วนปัญญาขั้นทานนั้นไม่ได้เกิดจากการฟัง แต่เกิดขึ้นเพราะอุปนิสัยที่สะสมมา  เป็น "ทานุปนิสัย" โดยที่ไม่ได้ฟังธรรมเลย  ไม่เข้าใจเลย  แต่การสะสมกุศลจิตฝ่ายดีก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดการให้  หรือการสละออกจากใจที่ติดข้อง  ยึดมั่นถือมั่นในรูปธรรมนามธรรม  ก็จะเกิดระลึกเป็นไปในการให้ได้เช่นกัน



                           ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านและขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์


                                                 ...................................................

วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556

เกิดเพราะอะไร



 ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดเพราะเหตุปัจจัย  เพราะฉะนั้นในเวลาฟังพระธรรมหรือในพระสูตร ก็แสดงว่าจากเสียงที่ได้ยินก็จะศึกษาให้เข้าใจว่าในภาษาของตน ๆ  เพราะฉะนั้นเสียงที่เราได้ยินได้ฟังนั้น ส่วนใหญ่ก็มาจากคำภาษาบาลี  แต่ว่าคำภาษาบาลีทั้งหมด สำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาบาลี  ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ในภาษาของตน ๆ  เช่น คนไทยได้ยินคำว่า อวิชชา ไม่ใช้ภาษาที่เราใช้ตั้งแต่เกิด  แต่ว่าได้ยินคำที่จะต้องเข้าใจความหมายด้วย

 วิชชา  คือ ความรู้ถูกต้องตามความเป็นจริงหรือความเห็นถูก   อวิชชา...... อะ คือ ไม่  พูดง่าย ๆ  อวิชชา คือไม่รู้  เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้กำลังไม่รู้  ถ้าจะว่ามาจากไหน ก็เดี๋ยวนี้เกิดความไม่รู้ ซึ่งอาศัยการที่เคยสะสมความไม่รู้และความติดข้องมานานมาก โดยที่ไม่รู้เลย  เพราะฉะนั้น  เราสามารถเข้าใจธรรมที่เกิดมีขึ้นในชีวิต เช่น ตั้งแต่เกิดมาจนขณะนี้  มีวิชชาหรือวิชชา  วิชชาคือสามารถเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ  อวิชชาไม่รู้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏว่าเป็นอะไร  ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ก็มีสังขาร ซึ่งหมายความถึงเจตนา ที่เป็นกุศลและอกุศลในวันหนึ่ง ๆ

 เพราะฉะนั้นชีวิตประจำวันเป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี ที่เราใช้คำว่า กรรมดีกรรมชั่ว อาศัยเจตนาที่เป็นกุศลบ้างและอกุศลบ้าง  ก็มีการกระทำต่าง ๆ  แต่ก็ยังคงไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นนั้นเราคงจะไม่ย้อนไปถึงชาติก่อน ๆ ก็ได้  เพราะแม้แต่เพียงชาตินี้  ก็เริ่มจากความไม่รู้ตั้งแต่เกิด  แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินไป  ต้องเป็นไป ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส  แล้วก็คิด แล้วก็เป็นสุขเป็นทุกข์ต่าง ๆ  แต่ก็ยังไม่รู้  เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ฟังตามลำดับ เช่น  ขณะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย มีจริง ๆ โดยที่ไม่มีใครต้องไปทำอะไรเลย ไม่มีใครต้องไปทำเห็น แต่เห็นก็เกิดแล้ว ไม่มีใครต้องทำให้ได้ยิน  แต่ได้ยินก็เกิดแล้ว ตามเหตุตามปัจจัย

 เพราะฉะนั้น อวิชชาถ้าไม่รู้อย่างนี้ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดได้  เมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น  ไม่เป็นอย่างนี้  เริ่มเข้าใจสิ่งที่เกิดแล้วตามความเป็นจริง ว่าต้องมีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ๆ  ไม่เป็นอย่างอื่น  แต่แม้กระนั้นก็ยังไม่หมดความไม่รู้  ด้วยเหตุนี้ ถ้าเราจะคิดถึงความจริงในวันหนึ่ง ๆ ว่า เรามีกุศลและอกุศลซึ่งเป็นสังขาร  มาจากอวิชชา  มาจากความไม่รู้  ก็เป็นความจริง เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดแล้วก็สามารถที่จะได้ยินได้ฟังพระธรรม มีโอกาสที่จะได้เข้าใจพระธรรมตามลำดับ  เช่น ความไม่รู้เป็นความไม่รู้  กุศลและอกุศลทั้งหลาย แม้ว่าจะเกิดขึ้นซึ่งเป็นไป ก็ยังไม่หมดความไม่รู้  ก็จะค่อย ๆ เข้าใจว่า ชีวิตเกิดมาเพราะไม่รู้และถ้ายังไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ก็ยังคงไม่รู้ต่อไปอีก

 เพราะฉะนั้น เมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้ต้องจากโลกนี้ไป  แล้วก็มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิด  ก็ต้องมีความไม่รู้อยู่นั่นเอง  ด้วยเหตุนี้ การฟังธรรมแต่ละครั้งก็เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมี เล็ก ๆ น้อย ๆ ทีละนิดทีละหน่อย จนกว่าสามารถที่จะเห็นถูกต้อง ตามความเป็นจริงของสภาพธรรม ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย  เป็นอย่างนี้ตลอดทุกขณะ  นี่คือเริ่มเข้าใจความจริงว่า อวิชชาเป็นปัจจัย ให้เกิดสิ่งที่ต้องเกิดตามความเป็นจริง จนกว่าความรู้จะค่อย ๆ ละความไม่รู้ไป  ทีละเล็กทีละน้อย


                               ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านและขออุทิศส่วนกุศลแก่สรรพสัตว์

                                                                    .........................................