วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556

เกิดเพราะอะไร



 ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดเพราะเหตุปัจจัย  เพราะฉะนั้นในเวลาฟังพระธรรมหรือในพระสูตร ก็แสดงว่าจากเสียงที่ได้ยินก็จะศึกษาให้เข้าใจว่าในภาษาของตน ๆ  เพราะฉะนั้นเสียงที่เราได้ยินได้ฟังนั้น ส่วนใหญ่ก็มาจากคำภาษาบาลี  แต่ว่าคำภาษาบาลีทั้งหมด สำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาบาลี  ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ในภาษาของตน ๆ  เช่น คนไทยได้ยินคำว่า อวิชชา ไม่ใช้ภาษาที่เราใช้ตั้งแต่เกิด  แต่ว่าได้ยินคำที่จะต้องเข้าใจความหมายด้วย

 วิชชา  คือ ความรู้ถูกต้องตามความเป็นจริงหรือความเห็นถูก   อวิชชา...... อะ คือ ไม่  พูดง่าย ๆ  อวิชชา คือไม่รู้  เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้กำลังไม่รู้  ถ้าจะว่ามาจากไหน ก็เดี๋ยวนี้เกิดความไม่รู้ ซึ่งอาศัยการที่เคยสะสมความไม่รู้และความติดข้องมานานมาก โดยที่ไม่รู้เลย  เพราะฉะนั้น  เราสามารถเข้าใจธรรมที่เกิดมีขึ้นในชีวิต เช่น ตั้งแต่เกิดมาจนขณะนี้  มีวิชชาหรือวิชชา  วิชชาคือสามารถเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ  อวิชชาไม่รู้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏว่าเป็นอะไร  ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ก็มีสังขาร ซึ่งหมายความถึงเจตนา ที่เป็นกุศลและอกุศลในวันหนึ่ง ๆ

 เพราะฉะนั้นชีวิตประจำวันเป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี ที่เราใช้คำว่า กรรมดีกรรมชั่ว อาศัยเจตนาที่เป็นกุศลบ้างและอกุศลบ้าง  ก็มีการกระทำต่าง ๆ  แต่ก็ยังคงไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นนั้นเราคงจะไม่ย้อนไปถึงชาติก่อน ๆ ก็ได้  เพราะแม้แต่เพียงชาตินี้  ก็เริ่มจากความไม่รู้ตั้งแต่เกิด  แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินไป  ต้องเป็นไป ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส  แล้วก็คิด แล้วก็เป็นสุขเป็นทุกข์ต่าง ๆ  แต่ก็ยังไม่รู้  เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ฟังตามลำดับ เช่น  ขณะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย มีจริง ๆ โดยที่ไม่มีใครต้องไปทำอะไรเลย ไม่มีใครต้องไปทำเห็น แต่เห็นก็เกิดแล้ว ไม่มีใครต้องทำให้ได้ยิน  แต่ได้ยินก็เกิดแล้ว ตามเหตุตามปัจจัย

 เพราะฉะนั้น อวิชชาถ้าไม่รู้อย่างนี้ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดได้  เมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น  ไม่เป็นอย่างนี้  เริ่มเข้าใจสิ่งที่เกิดแล้วตามความเป็นจริง ว่าต้องมีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ๆ  ไม่เป็นอย่างอื่น  แต่แม้กระนั้นก็ยังไม่หมดความไม่รู้  ด้วยเหตุนี้ ถ้าเราจะคิดถึงความจริงในวันหนึ่ง ๆ ว่า เรามีกุศลและอกุศลซึ่งเป็นสังขาร  มาจากอวิชชา  มาจากความไม่รู้  ก็เป็นความจริง เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดแล้วก็สามารถที่จะได้ยินได้ฟังพระธรรม มีโอกาสที่จะได้เข้าใจพระธรรมตามลำดับ  เช่น ความไม่รู้เป็นความไม่รู้  กุศลและอกุศลทั้งหลาย แม้ว่าจะเกิดขึ้นซึ่งเป็นไป ก็ยังไม่หมดความไม่รู้  ก็จะค่อย ๆ เข้าใจว่า ชีวิตเกิดมาเพราะไม่รู้และถ้ายังไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ก็ยังคงไม่รู้ต่อไปอีก

 เพราะฉะนั้น เมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้ต้องจากโลกนี้ไป  แล้วก็มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิด  ก็ต้องมีความไม่รู้อยู่นั่นเอง  ด้วยเหตุนี้ การฟังธรรมแต่ละครั้งก็เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมี เล็ก ๆ น้อย ๆ ทีละนิดทีละหน่อย จนกว่าสามารถที่จะเห็นถูกต้อง ตามความเป็นจริงของสภาพธรรม ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย  เป็นอย่างนี้ตลอดทุกขณะ  นี่คือเริ่มเข้าใจความจริงว่า อวิชชาเป็นปัจจัย ให้เกิดสิ่งที่ต้องเกิดตามความเป็นจริง จนกว่าความรู้จะค่อย ๆ ละความไม่รู้ไป  ทีละเล็กทีละน้อย


                               ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านและขออุทิศส่วนกุศลแก่สรรพสัตว์

                                                                    .........................................