ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย |
สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นในเวลาฟังพระธรรมหรือในพระสูตร ก็แสดงว่าจากเสียงที่ได้ยินก็จะศึกษาให้เข้าใจว่าในภาษาของตน ๆ เพราะฉะนั้นเสียงที่เราได้ยินได้ฟังนั้น ส่วนใหญ่ก็มาจากคำภาษาบาลี แต่ว่าคำภาษาบาลีทั้งหมด สำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาบาลี ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ในภาษาของตน ๆ เช่น คนไทยได้ยินคำว่า อวิชชา ไม่ใช้ภาษาที่เราใช้ตั้งแต่เกิด แต่ว่าได้ยินคำที่จะต้องเข้าใจความหมายด้วย
วิชชา คือ ความรู้ถูกต้องตามความเป็นจริงหรือความเห็นถูก อวิชชา...... อะ คือ ไม่ พูดง่าย ๆ อวิชชา คือไม่รู้ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้กำลังไม่รู้ ถ้าจะว่ามาจากไหน ก็เดี๋ยวนี้เกิดความไม่รู้ ซึ่งอาศัยการที่เคยสะสมความไม่รู้และความติดข้องมานานมาก โดยที่ไม่รู้เลย เพราะฉะนั้น เราสามารถเข้าใจธรรมที่เกิดมีขึ้นในชีวิต เช่น ตั้งแต่เกิดมาจนขณะนี้ มีวิชชาหรือวิชชา วิชชาคือสามารถเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ อวิชชาไม่รู้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏว่าเป็นอะไร ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ก็มีสังขาร ซึ่งหมายความถึงเจตนา ที่เป็นกุศลและอกุศลในวันหนึ่ง ๆ
เพราะฉะนั้นชีวิตประจำวันเป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี ที่เราใช้คำว่า กรรมดีกรรมชั่ว อาศัยเจตนาที่เป็นกุศลบ้างและอกุศลบ้าง ก็มีการกระทำต่าง ๆ แต่ก็ยังคงไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นนั้นเราคงจะไม่ย้อนไปถึงชาติก่อน ๆ ก็ได้ เพราะแม้แต่เพียงชาตินี้ ก็เริ่มจากความไม่รู้ตั้งแต่เกิด แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินไป ต้องเป็นไป ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แล้วก็คิด แล้วก็เป็นสุขเป็นทุกข์ต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่รู้ เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ฟังตามลำดับ เช่น ขณะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย มีจริง ๆ โดยที่ไม่มีใครต้องไปทำอะไรเลย ไม่มีใครต้องไปทำเห็น แต่เห็นก็เกิดแล้ว ไม่มีใครต้องทำให้ได้ยิน แต่ได้ยินก็เกิดแล้ว ตามเหตุตามปัจจัย
เพราะฉะนั้น อวิชชาถ้าไม่รู้อย่างนี้ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างนี้ เริ่มเข้าใจสิ่งที่เกิดแล้วตามความเป็นจริง ว่าต้องมีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ๆ ไม่เป็นอย่างอื่น แต่แม้กระนั้นก็ยังไม่หมดความไม่รู้ ด้วยเหตุนี้ ถ้าเราจะคิดถึงความจริงในวันหนึ่ง ๆ ว่า เรามีกุศลและอกุศลซึ่งเป็นสังขาร มาจากอวิชชา มาจากความไม่รู้ ก็เป็นความจริง เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดแล้วก็สามารถที่จะได้ยินได้ฟังพระธรรม มีโอกาสที่จะได้เข้าใจพระธรรมตามลำดับ เช่น ความไม่รู้เป็นความไม่รู้ กุศลและอกุศลทั้งหลาย แม้ว่าจะเกิดขึ้นซึ่งเป็นไป ก็ยังไม่หมดความไม่รู้ ก็จะค่อย ๆ เข้าใจว่า ชีวิตเกิดมาเพราะไม่รู้และถ้ายังไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ก็ยังคงไม่รู้ต่อไปอีก
เพราะฉะนั้น เมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้ต้องจากโลกนี้ไป แล้วก็มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิด ก็ต้องมีความไม่รู้อยู่นั่นเอง ด้วยเหตุนี้ การฟังธรรมแต่ละครั้งก็เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมี เล็ก ๆ น้อย ๆ ทีละนิดทีละหน่อย จนกว่าสามารถที่จะเห็นถูกต้อง ตามความเป็นจริงของสภาพธรรม ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เป็นอย่างนี้ตลอดทุกขณะ นี่คือเริ่มเข้าใจความจริงว่า อวิชชาเป็นปัจจัย ให้เกิดสิ่งที่ต้องเกิดตามความเป็นจริง จนกว่าความรู้จะค่อย ๆ ละความไม่รู้ไป ทีละเล็กทีละน้อย
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านและขออุทิศส่วนกุศลแก่สรรพสัตว์
.........................................