วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

โลกวิจิตร


                 ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ทุกคนดูเหมือนกับว่าเราอยู่ร่วมโลกเดียวกัน แต่ตามความจริงแล้ว แต่ละคนก็มีโลกของตนเอง  โลกคือสภาพที่เกิดดับ สภาวะธรรมต่าง ๆ ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ ก็คือโลกต่าง ๆ  เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่ามีความวิจิตรแตกต่างกันไปตามการสะสมของจิต...โลกที่ได้สะสมกุศลไว้มาก ๆ ก็จะเป็นโลกที่แช่มชื่นเบิกบานและพร้อมที่จะเกิดเมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขา ซึ่งเป็นโลกที่ดีกว่าโลกของความขุ่นข้อง แค้นเคือง อิสสาอาฆาตพยาบาท ซึ่งเป็นโลกที่มัวหมองเต็มไปด้วยความทุกข์

โลกขณะหนึ่ง ๆ คือการเกิดขึ้นของจิต เพื่อรู้อารมณ์เพียงชั่วขณะเดียวแล้วก็ดับไป  เช่น โลกทางตาเมื่อมีอารมณ์กระทบที่ตา จิตเห็นเกิดขึ้นทำกิจเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏทางตาแล้วก็ดับไป โลกทางหู เมื่อมีเสียงกระทบที่หู เกิดจิตได้ยินเสียงต่าง ๆ แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว...จิตหรือโลกแต่ละโลกที่เกิดขึ้น จะไม่มีการดับไม่มี และโลกแต่ละโลกจะเกิดโดยไม่มีอารมณ์หรือสิ่งกระทบไม่มี  โลกแต่ละโลกเกิดขึ้น ต้องทำหน้าที่การงานแล้วก็ดับไป จะเกิดขึ้นโดยไม่มีอารมณ์มากระทบและไม่ทำกิจการงานไม่มี เพราะเหตุว่าโลกหรือจิตเป็นสภาพนามธรรม เป็นนามรู้ เป็นธาตุรู้  ทำหน้าที่รู้อย่างเดียว ส่วนที่รู้ว่าเป็นอะไรนั้น ไม่ใช่จิต แต่เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ที่เกิดพร้อมกับจิตทุกขณะและดับพร้อมกับจิตด้วย เรียกว่า "สัญญาเจตสิก"
ทำหน้าที่จำอารมณ์ทุกอย่างที่มากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ

โลกทั้ง ๖ มีความวิจิตรมาก เพราะเหตุว่าในแต่ละภพแต่ละชาติ ทุกคนได้สะสมกุศลและอกุศลมากมายแตกต่างกันไปตามเหตุปัจจัย การที่โลกปรากฏแต่ละโลกนั้น ก็คือผล (วิบาก) ของกุศลกรรมและอกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว เช่น การที่ได้เห็นสิ่งที่สวยงาม เป็นผลของกุศลกรรมทางตา  การที่ได้ยินเสียงที่ไม่น่าฟัง เป็นผลของอกุศลกรรมทางหู  การที่ได้กลิ่นที่ไม่ดี เป็นผลของอกุศลทางจมูก  การได้ลิ้มรสที่ดี  เป็นผลของกุศลกรรมทางลิ้น หรือการที่ได้สัมผัสทางกายที่น่าพอใจ เป็นผลของกุศลกรรม....จะเห็นได้ว่า โลกทางตาเท่านั้นเป็นโลกที่สว่าง ส่วนโลกอีก ๕ โลกนั้นเป็นโลกที่มืดสนิท แต่โลกทางใจมีความวิจิตมากกว่าโลกอื่น ๆ  เพราะว่าสามารถรู้อารมณ์ต่าง ๆ จากโลกอื่น ๆ ได้ ถึงแม้ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส ไม่ได้สัมผัสทางกาย แต่ทางใจสามารถรู้ได้ด้วยอำนาจของการสะสมของสัญญาเจตสิก
เพราะฉะนั้นเวลาเรานอนหลับแล้วฝัน จะดูเหมือนว่าได้เห็นจริง ได้ยินจริง ขณะที่หลับสนิท (ภวังคจิต)ไม่รู้ ไม่เห็น เพราะไม่มีอารมณ์มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย  โลกทั้ง ๕ ไม่ปรากฏ แต่โลกทางใจยังสามารถทำกิจได้......โลกหรือจิตแต่ละขณะ  เกิดขึ้นแล้วก็ดับสืบต่อเป็นปัจจัยให้โลกหรือจิตดวงใหม่เกิดต่อไป  เป็นวัฏฏะะวนอยู่เช่นนี้จนกว่ากิเลส ตัณหา อุปาทานจะถูกประหารเป็นสมุจเฉท

                         
                                           ........................................


                                      ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ