วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กรรมเป็นเครื่องตัดสิน


ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ในชีวิตแต่ละวัน ๆ ทุกคนมีอกุศลวิตก หรือความคิดเป็นไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือเป็นไปในเรื่องโกรธบ้าง อาฆาตพยาบาทบ้าง  เบียดเบียนบ้าง  แต่ไม่มีความเห็นผิด....แต่ผู้ที่มีความโน้มเอียงไปในทางเห็นผิด ก็จะคิดว่า เป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวัน  ที่จิตต้องคิดเป็นไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ..... บางคนเมื่อเห็นผู้อื่นทำอกุศลกรรมมาก ๆ  และเป็นอกุศลกรรมที่ร้ายแรงด้วย ก็จะคิดว่า เขาผู้นั้นสมควรที่จะได้รับโทษ หรืออาจจะคิดว่า เขาผู้นั้นสมควรที่จะตายเสีย เพราะอยู่ต่อไปก็ไม่ทำสิ่งที่ดีเลย  ขณะที่คิดเช่นนั้นจิตเป็นอกุศลแล้ว และยังมีความโน้มเอียงไปในทางเห็นผิดด้วย

แทนที่จะคิดเมตตาสงสารผู้ที่กระทำอกุศลกรรมมาก ๆ และเป็นอกุศลที่ร้ายแรงด้วย ควรที่จะเป็นมิตรไมตรีและมีความสงสารต่อผู้ที่กระทำอกุศลกรรม  คิดหาทางที่จะช่วยเหลือเขา เพื่อไม่ให้เขากระทำอกุศลกรรมหนักเพิ่มขึ้น  แต่ถ้าคิดเมตตาสงสารเขา ตอนที่เขาได้รับผลของอกุศลกรรมแล้ว มีความทุกข์ยากลำบากมาก เพราะเกิดจากกรรมที่เขากระทำไว้  นี่ก็ไม่ถูกต้อง  เป็นความโน้มเอียงไปในทางเห็นผิด

เราไม่ใช่ผู้ตัดสินกรรม หรือเป็นผู้จัดการโลกซะเอง......ผู้ที่มีความเชื่อมั่นในเรื่องของกรรมจริง ๆ  และถ้าเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า   เมื่อเห็นผู้อื่นกระทำอกุศลกรรมมากมายแค่ไหนก็ตาม  เขาผู้นั้นก็จะมีเมตตากรุณาเป็นมิตรไมตรีกับทุกคน  คิดหาทางช่วยเหลือผู้กระทำผิด  และจะไม่คิดสมน้ำหน้า หรือดีใจเมื่อเห็นผู้อื่นได้รับโทษจากอกุศลกรรม  เขาจะปล่อยให้ "กรรมเป็นเครื่องตัดสิน"  แทนที่จะเป็นผู้จัดการซะเอง

การโน้มเอียงไปในทางเห็นผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ  ถ้าเป็นบ่อย ๆ ก็จะเป็นผู้ไม่เห็นว่า เรื่องของกรรมนั้น เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล  เพราะฉะนั้น เวลาที่กระทำกรรมด้วยความโกรธ แล้วมีความเห็นว่าการกระทำนั้นไม่บาป เช่น การทำร้ายต่อผู้มีพระคุณหรืออะไรก็ตาม แล้วก็คิดว่าไม่เป็นอกุศลกรรม ความคิดเช่นนี้ก็จะโน้มเอียงไปในทางเห็นผิดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั้งกลายเป็นผู้มีความเห็นผิดเป็น "มิจฉาทิฏฐิ"ในที่สุด


                                           ......................................


                                                 ขออนุโมทนาบุญค่ะ