วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

ความสงสัยในขันธ์


 ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

มีความสงสัยในขันธ์หรือความไม่รู้ในขันธ์  เพราะเหตุว่าขณะนี้ เรารู้จักแต่ชื่อขันธ์  แต่ว่าลักษณะของขันธ์  เราก็อาจจะบอกว่า ปรมัตถธรรมมี ๔..... ส่วนจิต เจตสิก รูป เป็นขันธ์ ๕   เราก็รู้จักแต่ชื่อ  แต่จริง ๆ แล้วลักษณะของขันธ์ คือสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฏ โดยปรมัตถธรรม ๔ ทรงแสดงไว้เพียง ๔  แต่ว่าย่อลงไปกว่านั้นอีกก็คือ  นามธรรมกับรูปธรรม   ขณะนี้ถ้าเราจะเริ่มต้นปัญญาจริง ๆ  โดยที่เรายังไม่ต้องรู้เรื่องขันธ์ก็ได้  เพราะว่าขันธ์มีตั้ง ๕  แล้วก็ปรมัตถธรรมอีกตั้ง ๔

เพราะฉะนั้น ถ้ารู้จริง ๆ ว่า มีสภาพธรรมที่ต่างกันโดยเด็ดขาด ๒ อย่าง คือ สภาพธรรมที่เป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้ กับสภาพธรรมที่ไม่ใช่สภาพรู้ เป็นรูปธรรม  เพียงแค่นี้  เราก็พิจารณาว่าจริงไหม ไม่ว่าที่ไหนในโลก เดี๋ยวนี้หรือว่าอดีต อนาคต หรือว่าต่อไป หรือว่าจะเป็นโลกไหนก็ตาม  สภาพธรรมที่มีจริง ๆ ต่างกันเป็น ๒ ลักษณะแท้ ๆ แน่นอน  คือ เป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้ สามารถที่จะรู้ มีลักษณะที่รู้  ส่วน
อีกลัษณะหนึ่งนั้น ไม่ใช่สภาพรู้ เป็นรูปธรรม  เพราะฉะนั้น จึงต้องเข้าใจความต่างกันของนามธรรมกับรูปธรรมก่อน

นี่ก็คือการที่จะไม่สงสัยในรูปขันธ์และนามขัน ธ์ แต่ว่าเพียงเท่านี้  ก็ยังไม่สามารถที่จะทำให้เราเกิดปัญญาอะไรได้  เพราะเหตุว่าการสะสมปัญญายังไม่พอ  เพราะฉะนั้น ถ้าแยกนามขันธ์หรือนามธรรมออกเป็น ๔  ก็ได้แก่  เวทนาขันธ์  สัญญาขันธ์  สังขารขันธ์  วิญญาณขันธ์...... แต่ถ้าแยกเป็นนามขันธ์หรือนามธรรมเป็น ๒  ก็ได้แก่ จิตและเจตสิก.....นามธรรม ๒ อย่างนี้  เกิดพร้อมกันดับพร้อมกัน  แล้วเป็นสภาพรู้ และแท้ที่จริงแล้ว มีลักษณะที่ต่างกันเป็น ๒ ประเภท คือ เป็นจิตประเภทหนึ่ง แล้วก็เป็นเจตสิกอีกประเภทหนึ่ง  เพราะฉะนั้นนามธรรมก็มี ๒ แล้วแยกนามธรรม ๒ นี้ ออกเป็นนามขันธ์ ๔

นี่ก็แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่เรื่องอื่น  แต่เป็นเรื่องสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้  เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจชัดเจนในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ  ก็จะค่อย ๆ หมดความสงสัยความไม่รู้ในขันธ์
แต่ให้ทราบว่า ในขณะที่เป็นความสงสัย ๆ ในเรื่องราวหรือเปล่า....... ถ้าเป็นความสงสัยเรื่องราวอย่างเดียว ไม่เกี่ยวกับปรมัตถธรรมเลย ไม่มีขันธ์ไม่มีอะไรเลย เป็นแต่เพียงสมมุติบัญญัติ  อันนั้นก็เป็นปฎิรูปกวิจิกิจฉา  แต่ถ้าเนื่องกับขันธ์โดยที่ไม่รู้ชื่อขันธ์  หรือว่ารู้ว่าเป็นขันธ์ แต่ก็ยังมีขันธ์ให้สงสัย คือ มีรูป เกิดมาก็มีรูป แล้วก็ไม่รู้ว่า นี่เป็นขันธ์  แล้วก็มีจิตใจด้วย  แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นนามขันธ์  ไม่รู้ว่าเป็นจิตเป็นเจตสิก  แต่กระนั้นด้วยความยึดถือในสิ่งที่มีและยึดในสภาพที่เป็นขันธ์ แต่เรียกอย่างอื่น ก็คิดว่าสิ่งนี้แหละ เมื่อตายแล้วจะมีไหม  นั่นก็เป็นความสงสัยในขันธ์  เป็นสภาพของวิจิกิจฉาเจตสิก เพราะว่าจริง ๆ แล้ว ขณะนั้นไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องราว  แต่สงสัยในสภาพที่มีอยู่ในขณะนี้ ว่าเมื่อตายแล้วจะเกิดอีกหรือเปล่า

เพราะฉะนั้น ก็ต้องอาศัยการพิจารณาไตร่ตรอง แยกให้ออกว่าเป็นปฏิรูปกวิจิกิจฉา คือ ความสงสัยในเรื่องราว หรือว่าในขณะนั้นมีสภาพธรรม ซึ่งแม้ว่าเราไม่รู้ว่าบัญญัติเรียกว่า ขันธ์  แต่เราก็สงสัยแล้วในขันธ์นั้น ไม่ใช่ว่าคนที่เรียนถึงจะรู้หรือว่าถึงจะมี  แต่มีทั้งนั้น แต่ว่าโดยไม่รู้ตัว.....มีท่านใดสงสัยไหมว่า ชาติหน้าจะเกิดเป็นอะไร  นี่ก็เป็นสงสัยในขันธ์ แต่เราไม่รู้ตัว....เรื่องตายแล้วจะเกิดที่ไหนอย่างไรนั้น เป็นเรื่องที่รู้ไม่ได้  ถ้ายังไม่ใช่พระอรหันต์ก็ยังต้องเกิดอีกทุกคน

                                                    ............................................................

                                                     
                                                         ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์